简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 2567 ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาสำหรับไทย เพราะไม่ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน หรือนางคามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต จะเป็นผู้ชนะ เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบที่แตกต่าง โดยเฉพาะโอกาสที่จะเกิดสงครามทางการค้า และผลต่อการไปต่อหรือจบสงครามในพื้นที่จริงที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 2567 ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาสำหรับไทย เพราะไม่ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน หรือนางคามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต จะเป็นผู้ชนะ เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบที่แตกต่าง โดยเฉพาะโอกาสที่จะเกิดสงครามทางการค้า และผลต่อการไปต่อหรือจบสงครามในพื้นที่จริงที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
เพราะนโยบายของทั้ง 2 ฝ่ายแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และนโยบายที่อาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อล้วนมีนัยสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย
ยกตัวอย่างจากสถิติการตอบสนองของตลาดหุ้นหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ (Honeymoon Period) นับตั้งแต่ปี 1930 หรือหลังวิกฤติเศรษฐกิจ “Great Depression” เป็นต้นมา พบว่าหลังการเลือกตั้ง 2 เดือน (พ.ย.-ธ.ค.) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (DJIA Index) มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย +3.4% โดยมีระดับความเชื่อมั่นที่ 75% ส่วนตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ 3 เดือน มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย +3.2% และมีโอกาสในการปรับตัวขึ้นสูงถึง 82%
อีกครั้ง...ไม่ว่าใครจะชนะ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน จะยังคงดำเนินต่อไปและรุนแรงขึ้น ไทยอาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ และการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ทดแทนสินค้าจีน แต่หากสินค้าจีนถูกจำกัดการส่งออกไปสหรัฐฯไทยก็ควรเตรียมมาตรการรับมือกับการหลั่งไหลของสินค้าจีนเข้าไทยมากขึ้นไปอีก
ไม่ว่าจะบวกหรือลบไทยหนีไม่พ้น ต้องตระหนักรู้ รับมือ และเปิดรับโอกาสในวาระการเปลี่ยนผ่านตัวผู้นำประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก มูลค่ามากกว่า 28 ล้านล้านเหรียญ สหรัฐฯในครั้งนี้
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัท และกรรมการบริหาร
ความแตกต่างระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย หรือนางแฮร์ริสชนะได้เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกนั้น หากทรัมป์กลับมา ผลกระทบที่เห็นชัดคือความขัดแย้งและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะรุนแรงขึ้น เพราะทรัมป์ ต้องการที่จะปกป้องธุรกิจภายในประเทศ แน่นอนกรณีดังกล่าวจะกระทบต่อการส่งออกของประเทศไทย
แต่สงครามจริงที่กำลังเกิดในพื้นที่ตะวันออกกลาง ความขัดแย้งกรณีไต้หวันหรือคาบสมุทรเกาหลีจะมีโอกาสลดลง รวมทั้งการสนับสนุนความช่วยเหลือยูเครน เพราะทรัมป์เป็นนักธุรกิจ รู้ดีว่าหากเกิดสงครามขึ้น จะส่งผลเสียต่อการทำธุรกิจและมีผลต่อต้นทุนทางการเงินทั่วโลก และนโยบายทรัมป์ก็ชัดเจนว่า ไม่สนับสนุนการให้เงินหรือความช่วยเหลือประเทศที่ทำสงคราม นอกจากนั้น มีความเป็นได้ว่าทรัมป์จะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นและแรงขึ้น เพื่อลดโอกาสเศรษฐกิจถดถอย เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ในทางตรงข้ามหากแฮร์ริสชนะ มองว่าจะดำเนินนโยบายต่อเนื่องจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งสงครามการค้าจะไม่รุนแรงขึ้นก็จริง แต่สงครามจริงในพื้นที่จะดำเนินต่อไป ซึ่งน่ากังวลเพราะหากสงครามจริงเกิดขึ้นแล้วจะไม่จบง่ายๆไม่ใช่ยิงกัน เจรจาหยุดยิงแล้วจบเหมือนสมัยก่อน เห็นได้จากในตะวันออกกลางที่ขยายจากประเทศเดียวเป็น 7 ประเทศในขณะนี้ เพราะต่างฝ่ายต่างแก้แค้นกันไปมา หาพันธมิตรเพิ่มขึ้น ขณะที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น อาจทำให้พื้นที่สงครามขยายไปยังที่อื่น
“ประเด็นที่ผมกังวลมากที่สุด คือการเกิดสงครามจริงรุนแรงขึ้นมากกว่าจะกังวลสงครามการค้าที่รุนแรง เพราะสงครามจริงจะส่งผลต่อเส้นทางขนส่ง ต้นทุนการค้า การเงิน ต้นทุนพลังงานกระทบทั่วโลก ขณะที่หากเป็นสงครามการค้าที่กีดกันจีนมากขึ้น อาจทำให้ไทยมีโอกาสส่งสินค้าทดแทนจีน ขณะที่บริษัทจีนหรือประเทศอื่นๆที่มีฐานผลิตที่จีนจะย้ายมาลงทุนที่ประเทศไทยมากขึ้นได้เช่นกัน”
ขอบคุณรูปจาก bbc
.
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์
การเลือกตั้งสหรัฐฯในครั้งนี้ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยหากนางแฮร์ริสที่สนับสนุนการค้าเสรีได้รับชัยชนะ อาจผลักดันให้สหรัฐฯเร่งรัดการเจรจากรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) ที่สหรัฐฯเป็นผู้ริเริ่มให้สำเร็จ รวมทั้งอาจกลับเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ที่สหรัฐฯเคยเข้าร่วม แต่ถอนตัวในปี 2560 สมัยนายทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ไทยพิจารณาเข้าร่วม เพื่อให้ไทยขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนได้กว้างขวางกว่าเดิม
ส่วนมาตรการทางภาษีกับจีน แม้จะนุ่มนวลกว่าทรัมป์ แต่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับจีน ทำให้ไทยอาจต้องกระจายความเสี่ยง และหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ นอกจากนี้ ยังมีนโยบายส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม ที่อาจส่งผลดีต่อการลงทุนไทยหลายด้าน โดยเฉพาะเทคโนโลยีสะอาด นวัตกรรม พลังงานหมุนเวียน ฯลฯ แต่ก็อาจทำให้เกิดมาตรการทางการค้าใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ขณะที่นโยบายควบคุมเงินเฟ้อ อาจช่วยลดแรงกดดันต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด (Fed) ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของเงินบาทและเงินเฟ้อในไทยได้
แต่หากทรัมป์ชนะ นโยบาย “America First” นโยบายการค้าแบบปกป้อง (Protectionism) และการใช้มาตรการจูงใจทางภาษี เพื่อดึงการลงทุนกลับสู่สหรัฐฯ อาจส่งผลให้การลงทุนจากสหรัฐฯในไทยลดลง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ อีกทั้งอาจเกิดการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงบางประเภท เช่น เซมิคอนดักเตอร์ หรือเทคโนโลยี 5G ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไทย
นอกจากนี้ อาจมีการเพิ่มภาษีนำเข้า โดยเฉพาะจากจีนเป็น 60% หรือมากกว่า ซึ่งอาจเป็นโอกาสให้มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทยเพิ่มขึ้น และความต้องการสินค้าทดแทนจากไทยในตลาดสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นด้วย ขณะเดียวกันสหรัฐฯอาจใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งไทยต้องเตรียมพร้อมปรับปรุงมาตรฐานการผลิตให้สอดคล้อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ขณะที่นโยบายที่เน้นลดดอกเบี้ย นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ อาจทำให้เงินเฟ้อไทยสูงขึ้น
ขอบคุณรูปจาก pptvhd3
.
บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์
ประเมินโอกาสชนะของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Trump) สูงกว่านางคามาลา แฮร์ริส (Harris) และคาดว่าพรรครีพับลิกันจะควบอำนาจมีที่นั่งส่วนใหญ่ในสภา หากเป็นไปตามนั้นคาดว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้สหรัฐฯ (Bond Yield) จะมีทิศทางขาขึ้น แต่จะมาพร้อมกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับมุมมองความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นไทยต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯนั้น ทิสโก้คาดว่ากรณีทรัมป์ชนะ คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับขึ้นทันที จากนโยบายลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% ซึ่งมีการประเมินว่าจะช่วยเพิ่มกำไรของบริษัทใน S&P 500 ประมาณ 4% กรณีแฮร์ริสชนะ การเสนอเพิ่มภาษีนิติบุคคลเป็น 28% ส่งผลลบต่อกำไรประมาณ-5% ถึง-8%เมื่อรวมผลจากนโยบายด้านภาษีอื่นๆ
ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นเอเชีย กรณีทรัมป์ชนะ นโยบายขึ้นภาษีนำเข้า (60% กับจีน, 10% กับประเทศทั่วไป) อาจไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นเอเชีย เนื่องจากราคาสินค้านำเข้าของสหรัฐฯจะสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับลดดอกเบี้ยลงน้อยกว่าที่คาด กรณีแฮร์ริสชนะอาจคลายความกังวลเรื่องภาษีนำเข้า ส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในเอเชีย
ส่วนผลกระทบต่อตลาดพันธบัตร อัตราผลตอบแทน Bond Yield 10 ปี อาจปรับสูงขึ้น เนื่องจากนโยบายของทั้งคู่น่าจะส่งผลให้สหรัฐฯขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นคล้ายกัน โดยหากทรัมป์ชนะและพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก อาจหนุน Bond Yield สูงถึง +40 bps ในขณะที่แฮร์ริสชนะและไม่มีพรรคใดครองเสียงข้างมากทั้งสองสภาอาจส่งผลต่อ Bond Yield มากสุดที่ประมาณ +20 bps
.
สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบีไทย
อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่
หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง มองด้านบวกเศรษฐกิจโลกจะรอดจากภาวะถดถอย เพราะมาตรการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% จะกระตุ้นให้ธุรกิจในสหรัฐฯเพิ่มการจ้างงานและปรับขึ้นค่าแรงส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตขึ้น ราคาน้ำมันดิบโลกจะลดลง จากนโยบายส่งเสริมการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯและการทำข้อตกลงที่เป็นประโยชน์กับประเทศตะวันออก กลาง และรัสเซีย รวมทั้งน่าจะมีการย้ายฐานการ ลงทุนมาไทยเพิ่มขึ้น เพราะภาษีการค้าที่กำหนดต่อจีนจะกระตุ้นให้บริษัทจีนย้ายฐานไปยังประเทศอื่น ช่วยเสริมสร้างอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล ส่วนด้านลบมองว่า การส่งออกของไทยจะเสี่ยงโตช้า จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน รวมทั้งต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลจะอยู่ระดับสูงตามความเสี่ยงทางการคลัง รายได้ภาคเกษตรของไทยเสี่ยงลดลงตามราคาสินค้าตลาดโลก กดดันให้อุปสงค์ในประเทศไทยอ่อนแอตาม
หากรองประธานาธิบดีแฮร์ริสชนะ คงเห็นการเปลี่ยนแปลงไม่มาก เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินนโยบายต่อเนื่องจากประธานาธิบดีไบเดน โดยไทยต้องรับมือกับความไม่แน่นอนของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีน และต้องไม่เข้าข้างฝ่ายใด ระมัดระวังในการจัดการด้านความสัมพันธ์กับทั้งสหรัฐฯและจีน เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น หันไปเพิ่มบทบาทในเวทีโลกโดยใช้อาเซียนเพิ่มอำนาจต่อรอง
นอกจากนั้น หากแฮร์ริสชนะ คาดว่าเฟดจะทยอยปรับลดดอกเบี้ยตามทิศทางเงินเฟ้อที่ลดลง นักลงทุนจะลดความสนใจในเงินดอลลาร์ลง เงินบาทน่าจะแตะระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ สหรัฐฯในปลายปี 2025 ส่วนการส่งออก คาดว่านอกจากจะชะลอตัวและกดดันการลงทุนภาคเอกชนให้เติบโตช้าลงแล้ว ความต้องการในประเทศจะอ่อนแอตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงด้วย โดยเฉพาะข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ภาคการเกษตรทั่วประเทศ รวมทั้งครัวเรือนที่มีรายได้น้อยในพื้นที่ชนบท
.
ขอบคุณข้อมูล จากสำนักข่าวthairath
อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย :https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4
คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
การลงทุนที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มผลกำไรจากการเทรด Forex
บทวิเคราะห์ Bitcoin
กฎของ 72 เป็นสูตรที่เรียบง่าย แต่มีประโยชน์มากสำหรับนักลงทุนที่อยากรู้ว่าเงินลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น สองเท่า ภายในเวลากี่ปี ด้วยอัตราผลตอบแทนรายปีที่กำหนด หรือหากนักเทรดรู้ระยะเวลาที่เงินจะเพิ่มเป็นสองเท่าแล้ว กฎนี้ยังช่วยคำนวณอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่คุณต้องการได้ด้วย
พีระมิดการลงทุนไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังสร้างสมดุลให้พอร์ตการลงทุนได้อย่างยั่งยืน หัวใจสำคัญคือการวางแผนและจัดการพอร์ตให้เหมาะสมกับเป้าหมาย พร้อมทั้งศึกษาและเข้าใจสินทรัพย์แต่ละประเภทอย่างลึกซึ้ง
EC Markets
IC Markets Global
HFM
FxPro
XM
IQ Option
EC Markets
IC Markets Global
HFM
FxPro
XM
IQ Option
EC Markets
IC Markets Global
HFM
FxPro
XM
IQ Option
EC Markets
IC Markets Global
HFM
FxPro
XM
IQ Option