简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
วิเคราะห์ราคา ด้วยระบบเทรด PVSRA
บทคัดย่อ:ระบบเทรด PVSRA (Price, Volume, Support and Resistance Analysis) เป็นกลยุทธ์ในการวิเคราะห์ตลาดที่มุ่งเน้นการศึกษา ราคา ปริมาณการซื้อขาย และแนวรับ-แนวต้าน เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้เล่นหลักในตลาดและคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต การวิเคราะห์ประกอบด้วยการติดตามแนวโน้มราคา การประเมินปริมาณการซื้อขายเพื่อดูแรงกดดัน และการระบุจุดที่ราคามีแนวโน้มจะหยุดหรือพลิกกลับ โดยแบ่งการเข้าเทรดเป็นสองกรณี ได้แก่ ขาขึ้นและขาลง ระบบ PVSRA ช่วยให้ผู้เทรดตัดสินใจได้ดีขึ้นในตลาด Forex ผ่านการวิเคราะห์ที่เป็นระบบ แต่อาจมีจุดอ่อนที่ต้องพิจารณา เช่น ความเสี่ยงจากสัญญาณหลอกและความต้องการประสบการณ์ในการตีความข้อมูลอย่างถูกต้อง.

ระบบเทรด PVSRA (Price, Volume, Support and Resistance Analysis) เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด โดยเน้นที่ราคา ปริมาณการซื้อขาย และแนวรับ-แนวต้าน เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้เล่นรายใหญ่ (Market Makers) และคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต หลักการวิเคราะห์สำคัญประกอบด้วย
- Price (ราคา): วิเคราะห์แนวโน้มราคา เช่น ขาขึ้น ขาลง หรือการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ
- Volume (ปริมาณ): ตรวจสอบปริมาณการซื้อขายเพื่อดูว่าแรงซื้อหรือแรงขายมีความสำคัญเพียงใด
- Support and Resistance (แนวรับและแนวต้าน): ระบุจุดที่ราคามีโอกาสหยุดหรือเปลี่ยนทิศทาง
วิธีการวิเคราะห์ด้วยระบบ PVSRA ในการประเมินแนวโน้มราคาของตลาด Forex จะพิจารณาจากองค์ประกอบของตลาด ดังนี้
.
การวิเคราะห์ Price (ราคา)การพิจารณาราคาที่เกิดขึ้นในตลาดมีหลักการดังนี้:
- ตรวจสอบทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา เพื่อระบุว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้น ขาลง หรือทรงตัว
- ระบุจุดแนวรับและแนวต้านที่มีความสำคัญ ซึ่งอาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา

ขอบคุณรูปจาก Crypto
ในตลาด Forex ปัจจัยที่ทำให้เกิด Price (ราคา) เปลี่ยนแปลง เกิดจากกลุ่มคน 3 กลุ่ม ดังต่อไปนี้
1. Market Makers (MM)
Market Makers หรือผู้สร้างตลาด คือ บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสนอซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับตลาด โดยมีบทบาทหลักดังนี้:
- เสนอราคาซื้อขาย: Market Makers จะกำหนดราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) สำหรับสกุลเงินต่าง ๆ ทำให้ผู้เทรดสามารถทำธุรกรรมได้ทันที
- สร้างสภาพคล่อง: พวกเขาช่วยให้มีผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดอยู่เสมอ เพื่อให้การซื้อขายสกุลเงินเป็นไปอย่างสะดวก
- กำหนดราคาซื้อขาย: Market Makers กำหนดราคาตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุปสงค์ อุปทาน และสภาพเศรษฐกิจ
ตัวอย่าง Market Makers:
- ธนาคารพาณิชย์
- โบรกเกอร์ Forex
- บริษัทผู้ให้บริการสภาพคล่อง
2. Smart Money (SM)
Smart Money หรือเงินอัจฉริยะ หมายถึง เงินลงทุนจากนักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์ในตลาด Forex นักลงทุนกลุ่มนี้มักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและกลยุทธ์การเทรดที่ซับซ้อน เพื่อหาโอกาสทำกำไร โดยมีลักษณะดังนี้:
- ลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก: นักลงทุนกลุ่มนี้มักมีเงินทุนสูง
- ความเข้าใจในตลาด: พวกเขามีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับตลาด Forex
- กลยุทธ์การเทรดที่ซับซ้อน: ใช้เทคนิคและกลยุทธ์ที่ซับซ้อนในการเทรด
- ความอดทน: รอคอยโอกาสในการทำกำไรอย่างมีกลยุทธ์
ตัวอย่าง Smart Money:
- กองทุนป้องกันความเสี่ยง
- บริษัทจัดการลงทุน
- เทรดเดอร์มืออาชีพ
3. Dumb Money (DM)
Dumb Money หรือเงินโง่ คือ เงินลงทุนจากนักลงทุนที่ขาดประสบการณ์และความรู้ในตลาด Forex นักลงทุนกลุ่มนี้มักตัดสินใจลงทุนตามข่าวลือหรืออารมณ์ โดยไม่มีการวิเคราะห์ข้อมูลที่ดี ทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนสูง โดยมีลักษณะดังนี้:
- ลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย: นักลงทุนในกลุ่มนี้มักมีเงินทุนต่ำ
- ขาดประสบการณ์: พวกเขามีความรู้ในตลาด Forex ค่อนข้างน้อย
- ตัดสินใจตามข่าวลือ: มักลงทุนตามกระแสหรืออารมณ์
- ขาดความอดทน: ไม่สามารถรอคอยโอกาสที่ดีได้
ตัวอย่าง Dumb Money:
- นักลงทุนรายย่อย
- เทรดเดอร์มือใหม่
- บุคคลทั่วไปที่ไม่มีความรู้ด้านการเงิน
.
การวิเคราะห์ Volume (ปริมาณ)
การวิเคราะห์ Volume หรือปริมาณการซื้อขายในตลาด Forex เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจแรงกดดันซื้อหรือขายในตลาด ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจในการเทรด โดยการวิเคราะห์ Volume จะพิจารณาดังนี้:
- การเพิ่มขึ้นของปริมาณ: ดูว่ามีปริมาณการซื้อหรือขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่
- การเปรียบเทียบปริมาณกับราคา: เพื่อตรวจสอบว่ามีการยืนยันแนวโน้มหรือไม่
หลักการวิเคราะห์ Volume ในตลาด Forex
- Volume สูง: หมายถึง แรงกดดันซื้อหรือขายที่รุนแรง ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มที่จะวิ่งขึ้นหรือลงต่อได้
- Volume ต่ำ: แสดงถึงความเฉื่อยชาของตลาด ซึ่งอาจทำให้ราคามีแนวโน้มข้างเคียง (Side Way)
เทคนิคในการวิเคราะห์ Volume
การวิเคราะห์ตลาด Forex โดยใช้ปริมาณการซื้อขายมีเทคนิคที่สำคัญดังนี้:
1. การวิเคราะห์ Volume ร่วมกับ Price
วิเคราะห์ Volume ใน 2 กรณี:
- Volume เพิ่มขึ้น:
- ราคาขึ้น: แสดงถึงการยืนยันแนวโน้มขาขึ้น
- ราคาลง: แสดงถึงการกลับตัวของแนวโน้ม
- Volume ลดลง:
- ราคาขึ้น: แสดงถึงการหมดแรงของขาขึ้น
- ราคาลง: แสดงถึงการยืนยันแนวโน้มขาลง
2. การเปรียบเทียบ Volume ในช่วงเวลาต่าง ๆ
วิเคราะห์ Volume โดยการเปรียบเทียบใน 2 กรณี:
- Volume ปัจจุบัน: เปรียบเทียบกับ Volume ในอดีต
- Volume ปัจจุบันสูงกว่าอดีต: แสดงถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้น
- Volume ปัจจุบันต่ำกว่าอดีต: แสดงถึงความสนใจที่ลดลง
- Volume เฉลี่ย: เปรียบเทียบ Volume ในช่วงเวลาต่าง ๆ
- Volume เฉลี่ยระยะสั้นสูงกว่า Volume เฉลี่ยระยะยาว: แสดงถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้น
- Volume เฉลี่ยระยะสั้นต่ำกว่า Volume เฉลี่ยระยะยาว: แสดงถึงความผันผวนที่ลดลง
.
การวิเคราะห์ Support and Resistance
การวิเคราะห์ Support and Resistance (แนวรับและแนวต้าน) เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมในตลาด Forex เนื่องจากช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์จุดที่ราคามีแนวโน้มที่จะหยุดหรือพลิกกลับได้ หลักการวิเคราะห์มีดังนี้:
- มองหารูปแบบการรวมตัวของราคา
- รอให้ราคาทะลุแนวต้านหรือแนวรับด้วยปริมาณที่เพิ่มขึ้น
เทคนิคการวิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน
วิธีการวิเคราะห์ Support and Resistance ในตลาด Forex สามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้:
1. หาจุด Support (แนวรับ)
ในการหาจุดราคาที่เป็น Support มีเทคนิคดังนี้:
- จุดที่ราคาเคยลงมาสัมผัสแล้วเด้งกลับขึ้นไป: แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
- ในแนวโน้มขาขึ้น: หาจุด Support จากจุดต่ำก่อนหน้า
- ในแนวโน้มขาลง: หาจุด Support จากแนวต้านที่ถูกทำลายลงมา
2. หาจุด Resistance (แนวต้าน)
ในการหาจุดราคาที่เป็น Resistance มีเทคนิคดังนี้:
- จุดที่ราคาเคยขึ้นไปสัมผัสแล้วถูกดันกลับลงมา: แสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง
- ในแนวโน้มขาขึ้น: หาจุด Resistance จากจุดสูงก่อนหน้า
- ในแนวโน้มขาลง: หาจุด Resistance จากแนวรับที่ถูกทะลุขึ้นไป
ราคาจะทะลุ Resistance เนื่องจากแรงซื้อที่มากกว่า และราคาจะทะลุ Support เนื่องจากแรงขายที่มากกว่า
การวิเคราะห์ราคาทดสอบแนวรับและแนวต้าน
เมื่อราคาทำการทดสอบแนวรับและแนวต้าน มีหลักในการวิเคราะห์ดังนี้:
- ราคาเด้งกลับจาก Support: แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น
- ราคาทะลุ Support: แสดงถึงแรงขายที่เหนือกว่า สนับสนุนแนวโน้มขาลง
- ราคาเด้งกลับจาก Resistance: แสดงถึงแรงขายที่อ่อนแอ สนับสนุนแนวโน้มขาลง
- ราคาทะลุ Resistance: แสดงถึงแรงซื้อที่เหนือกว่า สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น
การวิเคราะห์ Support and Resistance เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นในตลาด Forex โดยการตรวจสอบแนวโน้มราคาที่เกิดขึ้นจะช่วยให้สามารถเข้าซื้อหรือขายในจังหวะที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
เงื่อนไขการเข้าเทรด
ระบบเทรด PVSRA ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ใช้การวิเคราะห์ราคา ปริมาณ แนวรับ และแนวต้าน มีเงื่อนไขในการเข้าเทรดแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีขาขึ้น
- ราคาทำจุดสูงใหม่ (higher high)
- ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น
- ราคาเข้าใกล้แนวรับแนวต้านสำคัญ
- Open Buy: ซื้อเมื่อราคาทะลุแนวรับแนวต้านขึ้นไป
กรณีขาลง
- ราคาทำจุดต่ำใหม่ (lower low)
- ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น
- ราคาเข้าใกล้แนวรับแนวต้านสำคัญ
- Open Sell: ขายเมื่อราคาทะลุแนวรับแนวต้านลงมา
กลยุทธ์ในการเข้าเทรดด้วยระบบ PVSRA จะเน้นการตัดสินใจซื้อหรือขายตามแนวโน้มที่วิเคราะห์ พร้อมทั้งกำหนดจุดตัดขาดการสูญเสียและเป้าหมายการทำกำไรให้ชัดเจน
จุดอ่อนของระบบ
ถึงแม้ระบบ PVSRA จะมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีจุดอ่อนที่ควรพิจารณา ซึ่งรวมถึง:
- ตลาดอาจไม่เคลื่อนที่ตามแนวโน้มที่คาดการณ์ไว้เสมอไป
- จำเป็นต้องมีวินัยและการจัดการความเสี่ยงที่ดี
- ต้องอาศัยประสบการณ์ในการวิเคราะห์ข้อมูล
- อาจมีสัญญาณหลอก (false signals) ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการตัดสินใจ
นักเทรดมือใหม่อาจพบว่าระบบนี้ใช้ได้ผลไม่ดีนัก เนื่องจากต้องอาศัยทักษะและความชำนาญในการตีความข้อมูลราคาและปริมาณอย่างแม่นยำ
ขอบคุณข้อมูลจาก Forexthai.in.th
อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย : https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4
คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
อ่านเพิ่มเติม

บัญชี ECN คืออะไร? ทางลัดสู่ราคาจริงที่เทรดเดอร์มืออาชีพเลือกใช้!
บัญชี ECN (Electronic Communication Network) เป็นระบบเทรดที่ส่งคำสั่งซื้อ–ขายตรงไปยังตลาดกลางหรือผู้ให้สภาพคล่อง ทำให้นักเทรดเห็นราคาจริง (Raw Price) โดยไม่มีการปรับแต่งจากโบรกเกอร์ ข้อดีของบัญชี ECN ได้แก่ ความโปร่งใส สเปรดต่ำ ความเร็วสูง และสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของตลาด ทำให้เหมาะกับกลยุทธ์ Scalping, News Trading หรือ Swing Trading อย่างไรก็ตามบัญชี ECNต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นสูงและมีความผันผวนมาก นักลงทุนควรเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้และมีใบอนุญาตครบถ้วน การใช้บัญชี ECNช่วยให้นักเทรดวางกลยุทธ์อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากการเบี่ยงเบนของราคา และเข้าถึงตลาด Forex อย่างแท้จริง

บัญชี ECN คืออะไร? ทางลัดสู่ราคาจริงที่เทรดเดอร์มืออาชีพเลือกใช้!
บัญชี ECN (Electronic Communication Network) เป็นระบบเทรดที่ส่งคำสั่งซื้อ–ขายตรงไปยังตลาดกลางหรือผู้ให้สภาพคล่อง ทำให้นักเทรดเห็นราคาจริง (Raw Price) โดยไม่มีการปรับแต่งจากโบรกเกอร์ ข้อดีของบัญชี ECN ได้แก่ ความโปร่งใส สเปรดต่ำ ความเร็วสูง และสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของตลาด ทำให้เหมาะกับกลยุทธ์ Scalping, News Trading หรือ Swing Trading อย่างไรก็ตามบัญชี ECNต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นสูงและมีความผันผวนมาก นักลงทุนควรเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้และมีใบอนุญาตครบถ้วน การใช้บัญชี ECNช่วยให้นักเทรดวางกลยุทธ์อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากการเบี่ยงเบนของราคา และเข้าถึงตลาด Forex อย่างแท้จริง

บัญชี ECN คืออะไร? ทางลัดสู่ราคาจริงที่เทรดเดอร์มืออาชีพเลือกใช้!
บัญชี ECN (Electronic Communication Network) เป็นระบบเทรดที่ส่งคำสั่งซื้อ–ขายตรงไปยังตลาดกลางหรือผู้ให้สภาพคล่อง ทำให้นักเทรดเห็นราคาจริง (Raw Price) โดยไม่มีการปรับแต่งจากโบรกเกอร์ ข้อดีของบัญชี ECN ได้แก่ ความโปร่งใส สเปรดต่ำ ความเร็วสูง และสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของตลาด ทำให้เหมาะกับกลยุทธ์ Scalping, News Trading หรือ Swing Trading อย่างไรก็ตามบัญชี ECNต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นสูงและมีความผันผวนมาก นักลงทุนควรเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้และมีใบอนุญาตครบถ้วน การใช้บัญชี ECNช่วยให้นักเทรดวางกลยุทธ์อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากการเบี่ยงเบนของราคา และเข้าถึงตลาด Forex อย่างแท้จริง

เข้าใจคำว่า ‘มาจิ้น’ ผิด ชีวิตเทรดพัง! ควรรู้ให้ลึกก่อนหมดตัว
มาจิ้น (Margin) คือเงินประกันที่นักเทรดต้องฝากกับโบรกเกอร์เพื่อเปิดออเดอร์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินเต็มจำนวน การเข้าใจมาจิ้นสำคัญเพราะช่วยให้ใช้ leverage ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุม Lot Size และ Stop Loss เพื่อลดความเสี่ยง Margin Call นักเทรดมืออาชีพใช้มาจิ้นเป็นเครื่องมือจัดการเงินทุน สร้างสมดุลระหว่างกำไรและความเสี่ยง ทำให้พอร์ตสามารถอยู่รอดในตลาดที่ผันผวนได้
WikiFX โบรกเกอร์
FOREX.com
octa
ATFX
XM
IC Markets Global
GTCFX
FOREX.com
octa
ATFX
XM
IC Markets Global
GTCFX
WikiFX โบรกเกอร์
FOREX.com
octa
ATFX
XM
IC Markets Global
GTCFX
FOREX.com
octa
ATFX
XM
IC Markets Global
GTCFX
